BOTOX คืออะไร?

BOTOX คืออะไร?

03 พ.ค. 2564   ผู้เข้าชม 972


โบท็อกซ์ (Botox)

จัดเป็นสารอย่างหนึ่งที่ใช้ในวงการศัลยกรรมเสริมความงามทั่วโลก เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย สามารถใช้โบท็อกซ์ได้ด้วยการฉีดลงบนผิวหนัง ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น จึงได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โบท็อกซ์มีคุณสมบัติมากมายที่ช่วยเสริมในเรื่องของความงาม เช่น การลดริ้วรอย การปรับโครงสร้างของใบหน้าตามความต้องการ เป็นต้น 


โบท็อกซ์ (Botox) คืออะไร

โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin) คือโปรตีนที่ทำการสกัดจากแบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้จะสร้างสารที่เป็นพิษที่เรียกว่า โบทูลิซึม (Botulism) ที่มีพิษต่อร่างกายมนุษย์ โดยจะมีอาการหน้ามืด ปากแห้ง คลื่นไส้ วิงเวียน และอาจอันตรายถึงชีวิตถ้าได้รับในปริมาณที่สูง เนื่องจากภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงและหายใจไม่ออก แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาโปรตีนชนิดนี้ให้กลายมาเป็นยารักษาโรค โดยสารโบทูลินั่มมี 7 ชนิดคือโบทูลินั่มชนิด เอ–จี ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติดีต่างกัน และโบทูลินั่มที่ใช้ในทางการแพทย์มี 2 ชนิดคือ โบทูลินั่มชนิดเอ  ที่ใช้ในทางความงาม และ โบทูลินั่มชนิดบี ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยสารพิษจะเข้าไปออกฤทธิ์กับส่วนของเส้นประสาทส่วนปลาย ด้วยการทำการยับยั้งไม่ให้เส้นประสาทส่วนปลายทำการหลั่งสารสื่อประสาท ทำให้เส้นประสาทไม่สามารถทำการสั่งงานไปยังเส้นใยประสาทได้ ซึ่งสารนี้จะออกฤทธิ์กับเส้นประสาทกล้ามเนื้อชนิด Acetycholine และต่อมเหงื่อ ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและมีการหลั่งเหงื่อออกมาได้ลดลง

ด้วยคุณสมบัติข้างต้น Botulinum toxin จึงถูกนำมาพัฒนากลไกการออกฤทธิ์เพื่อช่วยในการรักษาทางการแพทย์ในผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับระบบประสาท ระบบสมอง ระบบกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดการชักกระตุก ภาวะกล้ามเนื้อลูกตาหดตัวหรือภาวะตา เป็นต้น ซึ่งสาร Botulinum toxin ได้ถูกนำมาใช้ในการศัลยกรรมความงาม เนื่องจากนายแพทย์ Dr.Alastair Carruthers ชาวแวนคูเวอร์ ในประเทศแคนนาดาได้สังเกตเห็นว่าเมื่อทำการฉีดยาโบทูลินั่ม ท็อกซิน เข้าไปเพื่อรักษาโรคกล้ามเนื้อรอบตาที่เกิดอาการหดเกร็ง แล้วริ้วรอยที่มีอยู่ระหว่างคิ้วจางลง จึงได้มีการทดลองนำยาชนิดนี้มาฉีดเข้าสู่บริเวณที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นที่มีอยู่บนใบหน้า พบว่าริ้วรอยที่มีเกิดขึ้นบางส่วนหายไปและบางส่วนจางลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ส่งผลให้ผิวหน้าแลอ่อนเยาว์ และได้นำยาชนิดนี้เข้ามาใช้ในการริ้วรอยเหี่ยวย่นที่บริเวณคิ้ว หน้าผาก บริเวณหางตา ต่อมาได้นำมาใช้ในการศัลยกรรมเสริมความงามจนเป็นอันดับหนึ่งที่มีคนนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน

การใช้โบท็อกซ์เพื่อเสริมความงาม

สารโบทูลินั่มท็อกซินมีฤทธิ์ต่อระบบประสาท อะซีตินโคลีน (acetylcholine) ที่สั่งให้กล้ามเนื้อยึดและหดตัว ส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัวชั่วคราว เมื่อนำสารโบทูลินั่มท็อกซินมาสกัดให้บริสุทธิ์ สามารถใช้รักษาในทางการแพทย์และในวงการความงามได้ จัดเป็นสารที่ไม่อันตราย 

1. การใช้โบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอยย่นบนใบหน้า

โบท็อกซ์สามารถช่วยในการลดริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นที่บริเวณใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นรอยตีนกา ริ้วรอยใต้ตา รอยที่บริเวณหน้าผาก หรือการลดการหย่อนคล้อยของผิวหนังส่วนอื่น โดยเมื่อทำการฉีดโบท็อกซ์เข้าสู่บริเวณที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยหรือรอยเหี่ยวย่น โบท็อกซ์จะเข้าไปทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว ทำให้ริ้วรอยที่เกิดขึ้นหายไป  ดังนั้นเมื่อทำการฉีดยาในปริมาณและตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วก็จะสามารถทำให้ริ้วรอยจางลงอย่างเห็นได้ชัด จึงนับได้ว่าความเชี่ยวชาญและประสบการของแพทย์ที่ทำการฉีดสารเข้าสู่ร่างกายมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะถ้าฉีดในตำแหน่งที่เหมาะสมจะช่วยลดเลือนริ้วรอยอย่างได้ผล แต่ถ้าฉีดในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม จะทำให้ริ้วรอยหายไปได้น้อยและอาจอาการแทรกซ้อน เช่น คิ้วตก คอห้อย มุมปากเบี้ยว เป็นต้น

ซึ่งตำแหน่งที่นิยมทำการฉีดโบท็อกซ์เพื่อทำการรักษาริ้วรอย ได้แก่ รอยตีนกา ร่องระหว่างคิ้ว รอยย่นที่บริเวณหน้าผาก ไม่ว่าจะเป็นรอยลึกหรือรอยตีนการฉีดสารชนิดนี้ก็สามารถลดริ้วรอยได้ หลังจากการฉีดเพียงแค่ 1 สัปดาห์ ริ้วรอยที่ต้องการลบเลือนก็จะหายไป ซึ่งความเรียบเนียนของผิวหน้าจะคงอยู่ประมาณ 3-6 เดือนหลังจากการฉีด ทั้งนี้จะการกลับคืนของริ้วรอยจะเร็วหรือช้า จะขึ้นอยู่กับการแสดงสีหน้า อารมณ์ด้วย ถ้ามีการแสดงอารมณ์และสีหน้ามาก ริ้วรอยก็จะกลับมาเร็ว แต่ถ้ามีการแสดงสีหน้าและอารมณ์ไม่มาก ริ้วรอยที่เกิดขึ้นก็จะกลับมาช้านั่นเอง

ผลผัพธ์หลังการฉีด : ลดเลือนริ้วรอยได้นานประมาณ 3 – 6 เดือน

ภาพรีวิวจากผู้ใช้งานจริง ที่ VW Clinic
คลิกเลย

2. การใช้โบท็อกซ์เพื่อทำการปรับรูปทรงของใบหน้าหรือรูปทรงของอวัยวะบนร่างกาย

ซึ่งสามารถแบ่งการปรับรูปร่างและรูปทรงได้เป็น 2 แบบ คือ

2.1 การใช้โบท็อกปรับรูปทรงของใบหน้า

การทำงานของโบท็อกซ์ คือ การทำให้กล้ามเนื้อขยับได้น้อยลง กล้ามเนื้อกรามจึงหดกระชับลงเรื่อยๆกรามจึงมีขนาดเล็กลง นั่นคือ สามารถเปลี่ยนรูปทรงของใบหน้าที่มีลักษณะอวบอิ่ม กลมโต ให้กลายเป็นใบหน้ารูปทรงตัววี (V-shape) หรือทรงตัวยู (U-shape) การที่จะมีใบหน้ารูปทรงทั้งสองแบบได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะที่สำคัญ 2 ส่วนด้วยกัน คือ ลักษณะของขากรรไกรและลักษณะของกล้ามเนื้อที่บริเวณมุมกราม ลักษณะของทั้ง 2 ส่วนจะเป็นตัวกำหนดรูปร่างของใบหน้า

การฉีดเพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อที่บริเวณมุมกรามนี้จะต้องใช้ความระมัดระวังในการฉีดที่คอนข้างสูง เพราะหากว่าทำการฉีดไม่ถูกตำแหน่งหรือตำแหน่งทั้งสองข้างไม่สมมาตรกัน หรือแม้แต่การให้ยาในปริมาณที่ไม่เหมาะสมทำให้กล้ามเนื้อหดตัวในปริมาณที่ไม่เท่ากัน จะส่งผลให้ลักษณะของใบหน้าที่เกิดขึ้นมีการบิดเบี้ยว หรือถ้าทำการฉีดยาในปริมาณที่สูงและลึกมาเกินไปอาจจะส่งผลต่อการบดเคี้ยว และอาจส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเกิดขึ้นได้ ถึงแม้ว่าอาการดังกล่าวจะคงอยู่เพียงแค่ชั่วคราวแต่ก็สามารถสร้างผลกระทบต่อการดำรงชีวิตได้

ผลผัพธ์หลังการฉีด : ลดกรามได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน

ภาพรีวิวจากผู้ใช้งานจริง ที่ VW Clinic
คลิกเลย

2.2 การใช้โบท็อกปรับแต่งรูปคิ้ว

คนที่มีปัญหาเรื่องคิ้วตก หรือบางคนคิ้วอาจไม่ตกแต่อยากมีคิ้วโก่งสวยได้รูป ก็สามารถใช้โบท็อกซ์ในการปรับแต่งรูปคิ้วได้ การฉีดโบท็อกซ์เข้าไปคลายกล้ามเนื้อในตำแหน่งที่ต้องการ เพื่อปรับเปลี่ยนรูปให้คิ้วเป็นทรงต่างๆ เช่น คิ้วทรงตรง คิ้วทรงโค้ง และคิ้วแบบนางแบบ ซึ่งความนิยมรูปคิ้วแบบต่างๆขึ้นอยู่กับแฟชั่นในแต่ละปี

ผลผัพธ์หลังการฉีด : ออกฤทธิ์หลังการฉีด 1-2 สัปดาห์ และอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน

2.3 การใช้โบท็อกแก้ปัญหาหน้ามัน

โบท็อกซ์สามารถฟื้นฟูโครงสร้างของผิวหน้าและยกผิวหน้าให้กระชับ ด้วยเทคโนโลยีเมโสโบท็อกซ์ เพื่อลดการทำงานของต่อมเหงื่อ ต่อมน้ำมัน และกล้ามเนื้อบริเวณผิวหน้า ทำให้รูขุมขนกระชับ ผิวเรียบเนียน และลดความมันบนใบหน้าลง

ผลผัพธ์หลังการฉีด : ออกฤทธิ์หลังการฉีด 1-2 สัปดาห์ และอยู่ได้นานประมาณ 3 เดือน

2.4 การใช้โบท็อกซ์เพื่อช่วยลดขนาดของแขน น่อง ขา

อวัยวะของร่างกายบางส่วนจะมีขนาดที่ใหญ่ไม่เป็นที่ต้องการ โดยเฉพาะส่วนของน่องที่เมื่อมีขนาดใหญ่จะส่งผลให้ขาแลดูหนาและเตี้ยไม่สวยงาม ต่างจากน่องที่มีลักษณะเล็กเรียวจะทำให้รูปร่างดูสูงและเพรียวมากขึ้น ซึ่งโบท็อกซ์จะเข้าไปทำให้กล้ามเนื้อน่องมีขนาดที่ลดลงแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การวิ่ง ต่างจากการผ่าตัดเพื่อลดขนาดของน่องที่อาจสร้างผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ เมื่อทำการฉีดสารนี้เข้าไปยังบริเวณกล้ามเนื้อของน่องที่มีลักษณะปูดหรือนูนออกมามากจนทำให้น่องมีลักษณะใหญ่ โบท็อกซ์จะเข้าไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อที่บริเวณดังกล่าว ทำให้กล้ามเนื้อดังกล่าวมีขนาดที่เล็กลง หลังจากทำการฉีดสารเข้าไปประมาณ 1-2 เดือน กล้ามเนื้อจะมีขนาดที่เล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ขนาดของน่องเล็กลงตามขนาดของกล้ามเนื้อที่ลดลง จากน่องใหญ่จึงกลายมาเป็นน่องเล็กเรียวตามต้องการ แต่ถ้าน่องโตเพราะไขมันหรือเซลลูไลต์สะสมต้องแก้ไขด้วยวิธีอื่น

ข้อจำกัดในการฉีดเพื่อลดขนาดของน่อง/ขา

  1. ฉีดได้เฉพาะบางส่วนเท่านั้น ไม่สามารถทำการฉีดได้ตลอดทั้งขา เพราะโดยโบท็อกซ์จะเข้าไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อที่บริเวณดังกล่าว จึงส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย
  2. ผลของโบท็อกซ์จะไม่คงอยู่ตลอดชีวิต จะสามารถคงอยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือนเท่านั้น ขนาดของน่องจะกลับเข้าสู่ขนาดเดิมก่อนที่ทำการฉีดสารเข้าไป ดังนั้นการรักษาขนาดของน่องให้เรียวเล็กจำเป็นต้องทำการฉีดโบท็อกซ์อย่างต่อเนื่อง

ผลผัพธ์หลังการฉีด : ลดแขน/น่อง/ขา ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน

2.5 การใช้โบท็อกซ์เพื่อช่วยลดปริมาณเหงื่อและกลิ่นตัว

ปัญหาเหงื่ออกมากเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อความมั่นใจของใครหลายคน ภาวะเหงื่อที่ออกมากผิดปกติ โดยเฉพาะอาการเหงื่อออกเฉพาะที่ (Hyperhidrosis) และกลิ่นตัว ซึ่งโบท็อกซ์สามารถช่วยลดปริมาณเหงื่อและกลิ่นตัวที่ร่างกายผลิตออกมาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ เช่น ใต้รักแร้ ฝ่ามือ เป็นต้น แม้จะทาโรลออนระงับกลิ่นกายหรือแป้งเพื่อลดปริมาณและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จากเหงื่อ ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์จะสามารถช่วยลดปริมาณเหงื่อให้มีปริมาณน้อยลงได้ โดยจะเข้าไปยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาทของเส้นใยประสาทที่ทำหน้าที่ในการสั่งงานให้ต่อมเหงื่อทำการหลั่งเหงื่อออกมา ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์เพียงครั้งเดียวจะสามารถยังยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อได้ประมาณ 1 ปี ถึงแม้ว่าจะสามารถรักษาอาการเหงื่อออกมากได้ แต่ว่าการฉีดโบท็อกซ์จะทำให้เกิดอาการห้อเลือด มีรอยเข็ม และถ้าทำการฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อที่ลึกเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการกล้ามเนื้อที่บริเวณฝามือหรือรักแร้มีอาการอ่อนแรงได้

ผลผัพธ์หลังการฉีด : เห็นผลการรักษาว่าเหงื่อลดลงในเวลา 1-2 สัปดาห์ และลดปริมาณเหงื่อและกลิ่นตัวได้นานราว 4 – 6 เดือน

ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่และความสามารถของสาร โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin) ที่ใช้ในการเสริมความงาม เพื่อช่วยสร้างรูปร่างที่สมส่วนให้กับร่างกายได้ ซึ่งความสามารถที่นอกเหนือจากนี้จะเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นหรือบางครั้งอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็เป็นได้ ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเสริมความงามด้วยการใช้สารชนิดนี้ควรพิจาณาด้วยเหตุและผลอย่างหลงเชื่อคำโฆษณาเพียงอย่างเดียว และควรพิจารณาเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายได้ แม้ว่าอาการดังกล่าวจะอยู่เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

 

แบรนด์โบท็อกซ์ (Botox) ยอดนิยม

โบท็อกซ์ USA va Korea

ปัจจุบันนี้โบท็อกซ์ (Botox) มีหลากหลายแบรนด์ที่นิยมมาก ตัวอย่างเช่น

  • Allergan จากประเทศอเมริกา
  • Dysport จากประเทศอังกฤษ
  • Neuronox, Botulax, Aestox, Nabota จากประเทศเกาหลี
  • Xeomin จากประเทศเยอร์มัน

แต่บทความนี้จะโฟกัสไปที่ โบท็อกซ์จากประเทศอเมริกาและเกาหลี เนื่องจากเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย

โบท็อกซ์ USA (แบรนด์ Allergan)

โบท็อกซ์ USA va Korea

  • แบรนด์ Allergan เป็นโบท็อกซ์ตัวแรกที่นำมาใช้เพื่อความงาม
  • เป็นต้นแบบของโบท็อกทุกชนิด มีงานวิจัยการแพทย์สูงสุดที่สุด กว่า 3,500 งานวิจัย แถมยังเป็นที่นิยมใช้กันทั่วโลก
  • เปอร์เซ็นต์การดื้อยาน้อยที่สุดเพราะโปรตีนที่ใช้เป็นโมเลกุลใหญ่ และผลการรักษาดีที่สุดเมื่อเทียบกับโบท็อกยี่ห้ออื่นๆ แต่ราคาก็แพงกว่ายี่ห้ออื่นๆ เช่นกัน
  • ให้ผลการรักษาที่แม่นยำที่สุด ยากระจายตัวแคบที่สุด หมอจะสามารถคาดคะเนการออกฤทธิ์ของโบท็อกได้แม่นยำกว่ายี่ห้ออื่นๆ
  • เห็นผลชัดเจน มีความบริสุทธิ์และอ่อนโยนมากที่สุด หน้าเรียวสวยเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งตึง
  • เห็นผลนานที่สุดเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่นๆ
โบท็อกซ์ Korea (แบรนด์ Botulax & Neuronox)
โบท็อกซ์ USA va Korea
  • ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วมากในประเทศไทย
  • ราคาที่ไม่แพงมาก โดยราคาถูกกว่าแบรนด์ Allergan ของอเมริกา อยู่ครึ่งนึง
  • ทั้ง 2 แบรนด์พยายามพัฒนาให้เหมือนโบท็อกแบรนด์ Allergan แต่เนื่องจากแบรนด์ Neuronox มาจากบริษัทเดียวกันกับแบรนด์ Allergan เพียงแต่ฐานการผลิตอยู่ที่ประเทศเกาหลี ตัวยาจึงมีคุณภาพใกล้เคียงกับ Allergan
  • แบรนด์ของเกาหลีออกฤทธิ์ไวกว่าเล็กน้อย และระยะเวลาอยู่ได้สั้นกว่าเล็กน้อยเช่นกัน เมื่อเทียบกับแบรนด์ของอเมริกา
  • เมื่อเทียบระหว่าง Botulax กับ Neuronox แล้ว แบรนด์ Neuronox จะให้ผลใกล้เคียง Allergan มากกว่า และให้ผลลัพธ์ได้นานกว่า Botulax แต่ Botulax จะให้ผลเร็วกว่า Neuronox และราคาถูกกว่า Neuronox

เตรียมตัวให้พร้อมก่อนฉีดโบท็อกซ์
  1. ควรหยุดการใช้ยาแก้ปวด ยาแอสไพริน ยากลุ่มต้านการอักเสบ NSAIDS ได้แก่ Ibruprofen, Naproxen อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการฉีด เพื่อป้องการอาการฟกช้ำ
  2. งดวิตามินที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา น้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส สารสกัดจากโสม ขิง กระเทียม ใบแปะก๊วย เป็นเวลา 2 สัปดาห์
  3. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงก่อนการฉีด
  4. สุขภาพร่างกายอยู่ในสภาพปกติดี ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรง เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง และไม่ได้อยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่
  5. ควรแจ้งให้แพทย์ผู้ฉีดทราบถึงปัญหาที่กังวลและสิ่งที่ต้องการในแต่ละส่วนอย่างชัดเจนก่อนฉีด เนื่องจากความต้องการที่ต่างกันไปตามแต่ละบุคคล เช่น บางท่านชอบให้ตึงมากๆ แต่บางท่านอาจชอบให้ดูเป็นธรรมชาติ แตกต่างกันไป
  6. หากเป็นไปได้ในวันฉีดควรล้างเครื่องสำอางหรือทำความสะอาดใบหน้าก่อนพบแพทย์
ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์ 3 สเต็ปสู่ความสวย
  1. คุณหมอประเมินปัญหาพร้อมกับประเมินจำนวนยูนิตที่ต้องใช้ และกำหนดจุดที่จะฉีดโบท็อกซ์
  2. ทำความสะอาดใบหน้าให้เรียบร้อยและทายาชา หรือ ประคบน้ำแข็งบริเวณที่จะทำการฉีดโบท็อกซ์
  3. คุณหมอทำการฉีดโบท็อกซ์เพื่อแก้ไขปัญหาของคนไข้อย่างเบามือ


ข้อปฏิบัติตัวหลังฉีดโบท็อกซ์ 
  1. ควรขยับเกร็งกล้ามเนื้อทันทีหลังฉีด กรณีฉีดโบท็อกซ์บริเวณกราม หลังฉีดให้เคี้ยวหมากฝรั่ง 2 ข้างเท่าๆกัน โดยการสลับซ้ายขวา เป็นเวลา 30 นาที – 1 ชั่วโมง เพื่อให้ตัวยากระจายเข้ากล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดได้ดียิ่งขึ้น
  2. งดการนวดกดจุดบริเวณที่ฉีด เป็นเวลา 1  เดือน
  3. หลังฉีดโบท็อกซ์งดนอนราบ เป็นเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการไหลของโบท็อกซ์
  4. หลีกเลี่ยงไม่ให้บริเวณที่ฉีดโดนความร้อนเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ 
  5. งดการทำทรีทเม้นท์ด้วยเครื่อง RF หรือเลเซอร์ 2 สัปดาห์ แต่สามารถทาครีมไม่ตามปกติ
  6. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ใบหน้าเกิดอาการ fushing เช่น ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ออกกำลังกายอย่างหนัก, อบซาวน่า, แช่น้ำอุ่น เนื่องจากความร้อนจะสลายตัวยาให้หมดสภาพเร็วขึ้น
  7. งดการสูบบุหรี่ และ การรับประทานอาหารหมักดอง 2 สัปดาห์ 
  8. หลังฉีดโบท็อกซ์ได้ประมาณ 4 ชั่วโมง สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ โดยจะมีรอยแดงจากเข็มและรอยนูนจากการฉีด ซึ่งจะหายไปเองภายในเวลา 1-2 ชั่วโมงหลังฉีด
  9. หากมีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์ทันที
อันตรายและผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์

ซึ่งโดยปกติทั่วไปแล้วโบท็อกซ์ของแท้ จะไม่ทิ้งสารตกค้างให้แก่ร่างกาย แต่การฉีดโบท็อกซ์นั้นก็มีความเสี่ยงต่างๆที่จะตามมา จะเป็นผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากการฉีดโบท็อกซ์ ดังนี้

  1. ติดเชื้อ เกิดจากการเลือกคลินิกที่ไม่สะอาด ไม่ได้มาตรฐาน อุปกรณ์ที่ใช้ในการฉีดไม่สะอาด รวมไปถึงเกิดจากหมอที่ฉีดไม่ใช่หมอจริงๆ ที่เคยได้ยินว่า หมอกระเป๋า นั่นเอง เพราะผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์จะไม่รู้จัก Sterile technique (เทคนิคการทำให้ปราศจากเชื้อโรค) ซึ่งเป็นเทคนิคที่สำคัญในการป้องกันการติดเชื้อจากการทำหัตถการทุกชนิด
  2. ตาตก จะพบได้ในการฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยระหว่างคิ้ว ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใกล้เปลือกตาด้านบน ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหนังตาอ่อนแรงและตกลงมาได้ หากฉีดไม่ถูกวิธีและใช้เทคนิคที่ไม่ปลอดภัย
  3. มุมปากเบี้ยว ยิ้มไม่สุด จะพบได้จากการฉีดโบท็อกซ์บริเวณกราม ซึ่งเกิดจากการกระจายตัวไปผิดจุดของโบท็อกซ์ จะเกิดได้ทั้งการยิ้มไม่ขึ้น แสดงสีหน้าได้ไม่ปกติ หรือเรียกกันว่า หน้าแข็ง นั่นเอง

โดยสาเหตุหลักการเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์ดังกล่าวมานี้ เกิดได้ด้วยกันหลายปัจจัยด้วยกัน ดังนี้

  1. ความไม่ชำนาญของแพทย์ หากไม่ใช่แพทย์จริงๆ หรือเป็นหมอกระเป๋า อาจเกิดความผิดพลาดในตำแหน่งที่ฉีดมีความคลาดเคลื่อนขึ้นได้
  2. คุณภาพของโบท็อกซ์ หากเป็นโบท็อกซ์ของแท้ ไม่ใช่ยาหิ้ว หรือยาที่ไม่ได้มาตรฐาน จะทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงน้อยกว่าโบท็อกซ์ของปลอม
  3. ปริมาณในการฉีด หรือเรียกว่ายูนิต ซึ่งการฉีดในปริมาณที่มากเกินไปจะทำให้เกิดอาการแข็งตึง จนไม่สามารถแสดงสีหน้าความรู้สึกได้ เช่น ยิ้มไม่สุด ไม่สามารถยกปากบนได้ ไม่สามารถยกคิ้วได้
  4. การไหลของโบท็อกซ์ เกิดได้จากการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์ของคนไข้ เช่น การนอนราบหลังฉีดโบท็อกซ์ทันที ก็จะทำให้ตัวยากระจายไปในส่วนที่เราไม่ต้องการ จนเกิดผลข้างเคียงต่างๆตามมานั่นเอง นอกจากนี้ความบริสุทธิ์ของโบท็อกซ์ ก็จะส่งผลให้เกิดการไหลของตัวยาได้เช่นเดียวกัน ยิ่งตัวยาที่มีความบริสุทธิ์มาก ความเสี่ยงในการไหลก็จะลดลงด้วย
ข้อห้ามในการฉีดโบท็อกซ์

ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำสวยได้ด้วยการฉีดโบท็อกซ์ ซึ่งบุคคลไม่สามารถฉีดโบท็อกซ์ได้ ดังนี้

  1. ผู้ที่มีอาการแพ้สาร Botulinum
  2. ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่
  3. ผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงรุนแรง
  4. ผู้ที่เป็นโรคเลือดออกแล้วหยุดยาก


บทความที่เกี่ยวข้อง

โบท็อกซ์ botulax ของเกาหลี ดีอย่างไร? คุณสมบัติและราคาเป็นยังไงบ้าง?
29 ก.ย. 2564

โบท็อกซ์ botulax ของเกาหลี ดีอย่างไร? คุณสมบัติและราคาเป็นยังไงบ้าง?

สาระน่ารู้
มาเด้ คอลลาเจน (MADE Collagen) ฉีดหน้า 16 จุด ดีอย่างไร? ดีท็อกซ์ใบหน้า ขจัดสารพิษ
14 ก.ย. 2564

มาเด้ คอลลาเจน (MADE Collagen) ฉีดหน้า 16 จุด ดีอย่างไร? ดีท็อกซ์ใบหน้า ขจัดสารพิษ

สาระน่ารู้